ไม่มีวิธีการใดที่เหมาะสำหรับทุกกรณีในการลงโฆษณาสำหรับธุรกิจของคุณ โฆษณารถสำหรับคุณแม่ที่ทำงานยุ่งอาจดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโฆษณาของรถเดียวกันที่มีจุดมุ่งหมายไปที่ผู้คนที่สนใจกิจกรรมกลางแจ้ง พิจารณาปรับเปลี่ยนข้อความของคุณสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน แม้ว่าคุณจะกำลังขายสินค้าเดียวกันก็ตาม
Jasper’s Market ต้องการสร้างการเติบโตให้กับทั้งลูกค้าใหม่และบริการจัดส่งของชำของตน นอกจากนี้พวกเขายังต้องชักจูงลูกค้าเดิมให้กลับมาอีกด้วย แม้ว่าจะมีเป้าหมายโดยรวมเหมือนกัน ซึ่งได้แก่การให้ผู้คนทำการซื้อ แต่พวกเขาต้องการสร้างสองแคมเปญที่แตกต่างกันสำหรับกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้
ตัวอย่างที่ 1: สร้างกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ของธุรกิจของคุณ
เป้าหมาย: สร้างการรับรู้กับผู้คนที่ไม่เคยซื้อสินค้ากับบริการจัดส่งของ Jasper’s Market กลุ่มเป้าหมาย: เข้าถึงผู้คนในพื้นที่ที่ให้บริการ อายุ 25 ปีขึ้นไป ผู้ชายและผู้หญิง วัตถุประสงค์ที่เป็นไปได้: การรับรู้เฉพาะพื้นที่ จำนวนการคลิกเว็บไซต์ สิ่งที่มีความสำคัญต่อกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว: กลุ่มเป้าหมายของคุณให้ความสำคัญต่อผลิตผลที่สดใหม่ ออร์แกนิก และได้มาจากท้องถิ่น Jasper’s Market ให้บริการจัดส่งในพื้นที่ของคุณในแล้ว |
ตัวอย่างที่ 2: สร้างกลุ่มเป้าหมายเพื่อเข้าถึงผู้คนที่เคยซื้อกับคุณมาก่อน
เป้าหมาย: กระตุ้นการซื้อซ้ำจากลูกค้าเดิมของบริการจัดส่งของ Jasper’s Market กลุ่มเป้าหมาย: กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเองตามโปรแกรมการจงรักภักดีหรือคอนเวอร์ชั่นบนเว็บไซต์ วัตถุประสงค์ที่เป็นไปได้: คอนเวอร์ชั่นบนเว็บไซต์ สิ่งที่มีความสำคัญต่อกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว: คุณเป็นลูกค้าชั้นนำ โปรโมทผลิตภัณฑ์พิเศษเฉพาะ |
เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน Jasper’s Market จึงสร้างสองแคมเปญโฆษณาที่แตกต่างกัน สำหรับลูกค้าใหม่ พวกเขาสร้างโฆษณาที่แสดงสิ่งที่ลูกค้าปัจจุบันสนใจ ได้แก่ ผลิตผลออร์แกนิกในท้องถิ่น นอกจากนี้พวกเขายังให้ความรู้กับผู้ที่อาจเป็นลูกค้าใหม่เกี่ยวกับการบริการจัดส่งใหม่ของพวกเขาอีกด้วย สำหรับลูกค้าที่มีอยู่แล้ว Jasper’s Market ทราบว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากฟาร์มในท้องถิ่นดึงดูดได้ดี และทำให้ลูกค้าเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง
ตัวอย่างที่ 1: สร้างโฆษณาสำหรับผู้คนที่ไม่คุ้นเคยกับธุรกิจของคุณ
กลยุทธ์การลงโฆษณา: สร้างโฆษณาที่กระตุ้นการรับรู้คุณค่าของร้านค้าของคุณ ลูกค้าปัจจุบันของคุณให้ความสำคัญกับผลิตผลออร์แกนิกในท้องถิ่น และยังให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายอีกด้วย ใช้สิ่งที่คุณทราบเกี่ยวกับพวกเขา เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าใหม่มาที่ร้านของคุณ
เคล็ดลับง่ายๆ:
-
เลือกชิ้นงานโฆษณาที่แสดงข้อความของคุณ ผู้คนจะเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพยายามจะสื่อหรือไม่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อ่านข้อความ
-
เพิ่มการกระตุ้นให้ดำเนินการ เช่น เรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้คนเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริการจัดส่งเฉพาะพื้นที่ใหม่ของคุณ
ตัวอย่างที่ 2: สร้างโฆษณาเพื่อดึงดูดผู้คนที่เคยซื้อกับคุณมาก่อน
กลยุทธ์การลงโฆษณา: สร้างโฆษณาที่นำลูกค้าเดิมกลับมา (ผู้ที่เคยซื้ออย่างน้อยหนึ่งครั้ง) ลูกค้าของคุณให้ความสำคัญกับอาหารสดในท้องถิ่นจากเกษตรกรและพ่อค้าในท้องถิ่น ไม่เพียงแต่แชร์ผลิตภัณฑ์ใหม่เท่านั้น แต่ยังจะแชร์เรื่องราวด้วยว่าอาหารนั้นมาจากไหน สร้างโฆษณาแบบภาพสไลด์ ที่แสดงผลิตภัณฑ์ใหม่ และลิงก์ไปยังแต่ละเรื่องราวของผลิตภัณฑ์
เกี่ยวกับรูปแบบภาพสไลด์
รูปแบบภาพสไลด์ช่วยให้คุณแสดงรูปภาพและ/หรือวิดีโอได้สูงถึง 10 ภาพ พาดหัว และลิงก์ หรือกระตุ้นให้ดำเนินการในหน่วยโฆษณาเพียงหน่วยเดียวได้ ใครก็ตามที่เห็นโฆษณาของคุณสามารถเลื่อนการ์ดโฆษณาแบบภาพสไลด์ได้โดยปัดหน้าจอมือถือหรือแท็บเล็ต หรือคลิกลูกศรที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
รูปแบบภาพสไลด์สามารถรองรับธุรกิจและความต้องการที่หลากหลาย ผู้ลงโฆษณาใช้โฆษณาประเภทนี้แสดงอสังหาริมทรัพย์ การบริการ งานกิจกรรม และอีกมากมาย
ใช้รูปแบบภาพสไลด์สำหรับธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับสินค้า
ธุรกิจทุกประเภทได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากรูปแบบภาพสไลด์ ผู้ลงโฆษณาใช้โฆษณาประเภทนี้แสดงอสังหาริมทรัพย์ การบริการ งานกิจกรรม และอีกมากมาย
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้รูปแบบนี้เล่าเรื่องราวธุรกิจของคุณผ่านการ์ดโฆษณาแบบภาพสไลด์ที่เรียงต่อกัน หรือแสดงภาพใหญ่ภาพเดียวที่ขยายบนผืนโฆษณาแบบภาพสไลด์
ภาพสไลด์ยังสามารถใช้เป็น:
-
แสดงสินค้าเฉพาะที่คุณขายหรือแอพที่คุณเป็นเจ้าของ
-
แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า บรรจุภัณฑ์ หรือแอพเฉพาะ
-
บอกเล่าเรื่องราวผ่านการ์ดโฆษณาแบบภาพสไลด์ตามลำดับ หรือเพื่อแสดงภาพขนาดยาวภาพหนึ่ง
-
ขยายขอบเขตชิ้นงานโฆษณาของคุณ: เริ่มต้นด้วยโฆษณาแบบภาพสไลด์โดยไม่ต้องสร้างและอัพโหลดรูปภาพสินค้าด้วยตัวเอง
คุณสามารถสร้างโฆษณาแบบภาพสไลด์ได้ในการสร้างโฆษณาPower Editor หรือ API โฆษณา โฆษณาสามารถแสดงในฟีดข่าวของ Facebook และ Instragram บนเดสก์ท็อปและมือถือ และใช้ได้กับจำนวนคลิกบนเว็บไซต์ คอนเวอร์ชั่นบนเว็บไซต์ การติดตั้งแอพ การมีส่วนร่วมในแอพ และโฆษณาการมีส่วนร่วมในโพสต์บนเพจ (อย่างไรก็ตาม มีเพียงโพสต์บนเพจแบบภาพสไลด์เท่านั้นที่ใช้งานเป็นโฆษณาการมีส่วนร่วมในโพสต์บนเพจแบบภาพสไลด์ได้) นอกจากนี้ รูปแบบภาพสไลด์ยังสามารถใช้ได้กับโฆษณาที่ปรากฏบน Instagram ด้วย
ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับผู้ลงโฆษณาในการใช้ภาพสไลด์ เช่นเดียวกับโฆษณาทุกชนิดของ Facebook รูปแบบที่คุณเลือกสำหรับโฆษณาของคุณไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณจ่าย คุณเลือกจำนวนเงินที่คุณต้องการใช้จ่าย และเลือกสิ่งที่เราจะเก็บค่าบริการจากคุณ
เคล็ดลับง่ายๆ:
-
เลือกรูปภาพที่มีชีวิตชีวาน่าดึงดูดใจที่แสดงคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของร้านของคุณ
-
เพิ่มปุ่มกระตุ้นให้ดำเนินการ เช่น เลือกซื้อเดี๋ยวนี้ เพื่อรับจำนวนผู้คนที่คลิกผ่านไปยังเว็บไซต์ของคุณและดำเนินการสิ่งที่คุณสนใจมากขึ้น
-
มอบข้อเสนอให้กับลูกค้าที่มีอยู่เพื่อชักจูงให้พวกเขาดำเนินการ ตัวอย่างเช่น Jasper’s Market ให้ข้อเสนอส่วนลด 20% กับผู้ซื้อใหม่เมื่อพวกเขาสั่งซื้อออนไลน์
สร้างและลงโฆษณาโดยให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำหนดและชิ้นงานโฆษณาที่คุณใช้ เมื่อโฆษณาของคุณแสดงเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว นี่คือบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อวัดความสำเร็จ:
1) ไปที่ตัวจัดการโฆษณาและ ปรับแต่งคอลัมน์ของคุณ เพื่อดูข้อมูลต่างๆ เช่น อายุ เพศ ภูมิภาค และอื่นๆ ของผู้ที่ดูเนื้อหาของคุณ คุณได้เข้าถึงผู้คนที่คุณต้องการเข้าถึงหรือไม่
ปรับแต่งคอลัมน์ในตัวจัดการโฆษณา
คุณสามารถใช้การปรับแต่งคอลัมน์ในตัวจัดการโฆษณาเพื่อดูข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง และเรียนรู้ว่าแคมเปญช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายธุรกิจหรือไม่ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการให้มีคนดูโฆษณาแบบวิดีโอของคุณมากขึ้น คุณสามารถปรับแต่งคอลัมน์เพื่อแสดงจำนวนคนที่ดูวิดีโอของคุณได้
- คลิก “แคมเปญ” “ชุดโฆษณา” หรือ “โฆษณา” ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการอัพเดต
- คลิกรายการดร็อปดาวน์ “คอลัมน์” แล้วเลือก “ปรับแต่งคอลัมน์”
- เลือกคอลัมน์ที่คุณต้องการดู หากต้องการบันทึกการปรับแต่งเพื่อใช้อีกครั้งในภายหลัง ให้ทำเครื่องหมายในช่อง บันทึกเป็นค่าที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- คลิก “นำไปใช้“
หากต้องการใช้ค่าที่กำหนดไว้ล่วงหน้าที่บันทึกไว้ ให้คลิก “คอลัมน์” แล้วเลือกจากส่วน “ค่าคอลัมน์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า“
หมวดหมู่ของเกณฑ์ชี้วัดในตัวจัดการโฆษณา
-
ประสิทธิภาพการทำงาน: สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อใส่เกณฑ์ชี้วัด เช่น ผลลัพธ์ การเข้าถึง ความถี่ และอิมเพรสชั่นได้
-
การมีส่วนร่วม: สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อแสดงหมวดหมู่เกณฑ์ชี้วัดเพิ่มเติมได้ เช่น โพสต์ในเพจ การรับส่งข้อความ สื่อ จำนวนคลิก และการรับรู้
-
คอนเวอร์ชั่น: สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อใส่เกณฑ์ชี้วัดได้ เช่น คอนเวอร์ชั่นบนเว็บไซต์ การซื้อบนเว็บไซต์ ค่าใช้จ่ายต่อคอนเวอร์ชั่นบนเว็บไซต์ จำนวนการติดตั้งแอพบนมือถือ และการซื้อในแอพมือถือ
-
การตั้งค่า: สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อใส่เกณฑ์ชี้วัดได้ เช่น วันที่เริ่มต้น วันที่สิ้นสุด ชื่อชุดโฆษณา ID โฆษณา การแสดงโฆษณา ราคาประมูล และวัตถุประสงค์
2) วัดผลลัพธ์ของคุณในตัวจัดการโฆษณา นี่คือเกณฑ์ชี้วัดที่สำคัญบางประการที่คุณควรดูเพื่อดูว่าโฆษณาของคุณประสบความสำเร็จหรือไม่:
– การเข้าถึง
อิมเพรสชัน
จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณปรากฏบนหน้าจอ
การใช้งาน
อิมเพรสชั่นเป็นเกณฑ์ชี้วัดทั่วไปที่ใช้ในวงการด้านการตลาดแบบออนไลน์ อิมเพรสชั่นช่วยวัดว่ามีการแสดงโฆษณาของคุณบนหน้าจอสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดบ่อยครั้งเพียงใด
วิธีการคำนวณ
อิมเพรสชั่นจะถูกนับเป็นจำนวนครั้งที่อินสแตนซ์ของโฆษณาปรากฏบนหน้าจอเป็นครั้งแรก (ตัวอย่างเช่น ถ้ากำลังแสดงโฆษณาบนหน้าจอ แล้วมีคนเลื่อนลง แล้วเลื่อนกลับไปที่โฆษณาเดิม จะนับเป็น 1 อิมเพรสชั่น ถ้ากำลังแสดงโฆษณาบนหน้าจอสำหรับคนหนึ่ง 2 ครั้งในเวลาที่ต่างกันในหนึ่งวัน จะนับเป็น 2 อิมเพรสชั่น เนื่องจากอิมเพรสชั่นจะนับแบบเดียวกันสำหรับโฆษณาที่มีรูปภาพหรือวิดีโอ จึงไม่มีการบังคับว่าวิดีโอจะต้องเริ่มเล่นเพื่อให้อิมเพรสชั่นเริ่มนับ แม้วิธีการนับอิมเพรสชั่นของวิดีโอนี้จะแตกต่างไปจากมาตรฐานอุตสาหกรรมของโฆษณาแบบวิดีโอ แต่วิธีการนี้ก็ช่วยรับรองความต่อเนื่องของการรายงานอิมเพรสชั่นเมื่อแคมเปญโฆษณามีทั้งวิดีโอและรูปภาพ
ในบางกรณีที่ไม่สามารถทำการพิจารณาได้ว่าโฆษณาแสดงบนหน้าจอหรือไม่ เช่น ในโทรศัพท์รุ่นเก่าๆ ที่อิมเพรสชั่นจะได้รับการนับในทันที่มีการส่งข้อมูลโฆษณาเข้ามาที่อุปกรณ์
ทั้งนี้ไม่นับว่าเป็นอิมเพรสชั่น หากมาจากจำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ถูกต้องที่เราตรวจพบ เช่น แหล่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (เช่น บ็อต) หรือเกิดจากผลที่ Facebook แสดงอิมเพรสชั่นมากกว่าที่ผู้ลงโฆษณาตั้งงบประมาณไว้
การใช้งาน
การเข้าถึงให้การวัดผลที่แสดงถึงจำนวนผู้คนที่ดูเนื้อหาของคุณในระหว่างแคมเปญโฆษณา ผู้คนอาจไม่คลิกที่โฆษณาของคุณเสมอไป แต่หากพวกเขาได้ดูเนื้อหาของคุณ ก็อาจมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมกับธุรกิจของคุณมากยิ่งขึ้น
การเข้าถึงของคุณอาจได้รับผลกระทบจากราคาประมูล งบประมาณ และการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
วิธีการคำนวณ
เกณฑ์ชี้วัดนี้จะคำนวณจากข้อมูลตัวอย่าง
การสุ่มตัวอย่างข้อมูล
การสุ่มตัวอย่างเป็นวิธีการเข้าถึงการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง แทนการวิเคราะห์ชุดข้อมูลทั้งหมด การให้ตัวอย่างจะดูเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูล
แม้ว่าการสุ่มตัวอย่างจะไม่ได้พิจารณาจากข้อมูลทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งของข้อมูลที่นำมาพิจารณานั้นเป็นตัวแทนประชากรขนาดใหญ่ที่ดีและให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียง การสุ่มตัวอย่างสามารถใช้ได้กับข้อมูลจำนวนมากที่จะวิเคราะห์ด้วยความแม่นยำระดับสูง นอกจากนี้ การสุ่มตัวอย่างยังช่วยประหยัดเวลาในการสืบค้นข้อมูล ซึ่งทำให้ผู้ลงโฆษณาได้รับรายงานข้อมูลของตนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การสุ่มตัวอย่างอาจถูกนำไปใช้ในเกณฑ์ชี้วัดที่ไม่ซ้ำกันใน ตัวจัดการโฆษณาPower Editor และ API ข้อมูลเชิงลึกของโฆษณา เกณฑ์ชี้วัดที่ไม่ซ้ำกันคือเกณฑ์ชี้วัดที่อ้างอิงถึงผู้คนที่ไม่ซ้ำกันแทนจำนวนการดำเนินการ
เกณฑ์ชี้วัดที่ไม่ซ้ำกันส่วนใหญ่จะมีคำว่า ‘ไม่ซ้ำกัน’ (เช่น จำนวนการคลิกลิงก์ที่ไม่ซ้ำกัน) ซึ่งทำให้สามารถเห็นได้ง่าย การใช้การสุ่มตัวอย่างบนเกณฑ์ชี้วัดเหล่านี้ทำให้ระบบของเราสามารถแสดงเกณฑ์ชี้วัดการรายงานโฆษณาได้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การสุ่มตัวอย่างไม่ถูกนำมาใช้ในเกณฑ์ชี้วัดที่ซ้ำกัน เช่น อิมเพรสชั่น จำนวนการคลิก ในกรณีของเกณฑ์ชี้วัดที่ซ้ำกัน เกณฑ์ชี้วัดที่คุณเห็นจะขึ้นอยู่กับข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ได้ ไม่ใช่เฉพาะตัวอย่างเท่านั้น
– ความถี่
ค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งที่แต่ละคนดูโฆษณาของคุณ
การใช้งาน
ความถี่ช่วยในการสร้างการรับรู้และจดจำ โดยการแสดงข้อความของคุณให้กับผู้คนในกลุ่มเป้าหมายของคุณหลายๆ ครั้ง ความถี่อาจเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ถึง 2 ครั้งต่อชุดโฆษณา หรืออาจมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย และกำหนดเวลาของคุณ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่การติดตามความถี่ไปพร้อมๆ กับผลลัพธ์และคะแนนความเกี่ยวข้อง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีคนที่ดูโฆษณาของคุณบ่อยเกินไปในระหว่างแคมเปญ หากประสิทธิภาพการทำงานเริ่มลดลงในขณะที่ตัวเลขความถี่เพิ่มขึ้น แสดงว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณอาจมีอาการเบื่อหน่ายโฆษณา ซึ่งจะเป็นการดี หากทำการเปลี่ยนแปลงชิ้นงานโฆษณาหรือการกำหนดเป้าหมายของคุณ
ผลลัพธ์
จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณได้รับผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์และการตั้งค่าที่เลือกไว้
การใช้งาน
เกณฑ์ชี้วัดผลลัพธ์จะแสดงว่าแคมเปญโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดตามวัตถุประสงค์ทางธุรกิจและการตั้งค่าที่คุณเลือกไว้ คุณสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานระหว่างแคมเปญที่คล้ายกัน และระบุโอกาสในด้านต่างๆ ได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
ผลลัพธ์ของคุณอาจไม่ส่งผลต่อการเรียกเก็บเงินสำหรับโฆษณาของคุณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแคมเปญและการตั้งค่าบัญชีผู้ใช้โฆษณา ตัวอย่าง: หากคุณเลือกคอนเวอร์ชั่นเป็นวัตถุประสงค์ ผลลัพธ์ของคุณอาจจะนับจำนวนการซื้อที่เกิดขึ้น แต่จะมีการเรียกเก็บค่าบริการตามจำนวนอิมเพรสชั่นที่โฆษณาของคุณได้รับ
วิธีการคำนวณ
เกณฑ์ชี้วัดนี้จะคำนวณจำนวนผลลัพธ์ที่คุณได้รับโดยอิงจากการตั้งค่าสำหรับแคมเปญของคุณ ตัวอย่าง: หากคุณเลือกคอนเวอร์ชั่นเป็นวัตถุประสงค์ของแคมเปญ เกณฑ์ชี้วัดผลลัพธ์อาจแสดงจำนวนการซื้อที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการที่มีคนเห็นโฆษณาของคุณ
สำหรับผลลัพธ์ที่เวลาอาจผ่านไปในช่วงระหว่างที่มีคนเห็นโฆษณาของคุณและเวลาที่คนนั้นดำเนินการใดๆ Facebook จะใช้ช่วงการระบุที่มาเริ่มต้นเพื่อนับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายใน 1 วันหลังจากที่ดูโฆษณา หรือภายใน 28 วันหลังจากที่คลิกโฆษณา หากคุณเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าช่วงการระบุที่มาสำหรับบัญชีผู้ใช้โฆษณาของคุณ จะนับผลลัพธ์ภายในช่วงการระบุที่มาที่คุณกำหนด
คะแนนความตรงเป้าหมาย
คะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 10 ซึ่งเป็นค่าประมาณว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณมีการตอบสนองต่อโฆษณาของคุณได้ดีแค่ไหน โดยจะมีการแสดงคะแนนนี้เมื่อโฆษณาของคุณได้รับอิมเพรสชันมากกว่า 500 ครั้ง คะแนนนี้สามารถดูได้เมื่อดูการรายงานสำหรับโฆษณาและจะไม่ปรากฎสำหรับชุดโฆษณาและแคมเปญ
การใช้งาน
คะแนนความเกี่ยวข้องจะประเมินว่าโฆษณาของคุณเข้าถึงผู้คนที่คุณต้องการเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ยิ่งคะแนนความเกี่ยวข้องของโฆษณาของคุณสูงเท่าใด โฆษณาของคุณก็จะได้รับการพิจารณาว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อโฆษณาของคุณมีคะแนนความเกี่ยวข้องที่สูง โฆษณาของคุณก็จะมีแนวโน้มที่จะแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายของคุณมากขึ้น
วิธีการคำนวณ
โฆษณาที่มีคะแนนความเกี่ยวข้อง 1 คะแนนจะถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณมากนัก โฆษณาที่มีคะแนนความเกี่ยวข้อง 10 คะแนนจะถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณมาก
เราจะอิงคะแนนความเกี่ยวข้องตามปัจจัยหลายปัจจัย ได้แก่
-
ประสิทธิภาพการทำงานของโฆษณาของคุณ
-
ผลตอบรับเชิงบวก (เช่น จำนวนการติดตั้งแอพ จำนวนคลิก การรับชมวิดีโอ) ที่เราคาดหวังจากผู้ที่เห็นโฆษณาของคุณ
-
ผลตอบรับเชิงลบ (เช่น มีคนคลิก “ฉันไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้” บนโฆษณาของคุณ)
การดำเนินการ
จำนวนครั้งของการดำเนินการที่เกิดขึ้นบนโฆษณา เพจ แอพหรือเหตุการณ์ของคุณ หลังจากที่มีคนดูโฆษณา แม้ว่าจะไม่ได้คลิกก็ตาม
การดำเนินการจะรวมถึง จำนวนการกดถูกใจเพจ จำนวนการติดตั้งแอพ คอนเวอร์ชั่น การตอบรับงานกิจกรรม และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น มีจำนวนการกดถูกใจเพจ 2 คนและแสดงความคิดเห็น 2 ความคิดเห็น จะนับเป็น 4 การดำเนินการ
คะแนนความตรงเป้าหมาย
คะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 10 ซึ่งเป็นค่าประมาณว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณมีการตอบสนองต่อโฆษณาของคุณได้ดีแค่ไหน โดยจะมีการแสดงคะแนนนี้เมื่อโฆษณาของคุณได้รับอิมเพรสชันมากกว่า 500 ครั้ง คะแนนนี้สามารถดูได้เมื่อดูการรายงานสำหรับโฆษณาและจะไม่ปรากฎสำหรับชุดโฆษณาและแคมเปญ
การใช้งาน
คะแนนความเกี่ยวข้องจะประเมินว่าโฆษณาของคุณเข้าถึงผู้คนที่คุณต้องการเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ยิ่งคะแนนความเกี่ยวข้องของโฆษณาของคุณสูงเท่าใด โฆษณาของคุณก็จะได้รับการพิจารณาว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อโฆษณาของคุณมีคะแนนความเกี่ยวข้องที่สูง โฆษณาของคุณก็จะมีแนวโน้มที่จะแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายของคุณมากขึ้น
วิธีการคำนวณ
โฆษณาที่มีคะแนนความเกี่ยวข้อง 1 คะแนนจะถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณมากนัก โฆษณาที่มีคะแนนความเกี่ยวข้อง 10 คะแนนจะถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณมาก
เราจะอิงคะแนนความเกี่ยวข้องตามปัจจัยหลายปัจจัย ได้แก่
-
ประสิทธิภาพการทำงานของโฆษณาของคุณ
-
ผลตอบรับเชิงบวก (เช่น จำนวนการติดตั้งแอพ จำนวนคลิก การรับชมวิดีโอ) ที่เราคาดหวังจากผู้ที่เห็นโฆษณาของคุณ
-
ผลตอบรับเชิงลบ (เช่น มีคนคลิก “ฉันไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้” บนโฆษณาของคุณ)
-
ติดต่อ Line ID : @indigital (มี@ นะคะ)
คลิกเพื่อ ADD Line : https://line.me/R/ti/p/%40indigital
Fanpage : INdigital การตลาดออนไลน์
คลิก https://www.facebook.com/indigital.co.th/
เว็บไซต์ : www.indigital.co.th
ข้อมูลจาก Facebook