ในปัจจุบัน Facebook Ads เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพมาก แต่โดยทั่วไปอาจยังใช้ได้ไม่เต็มที่ นี้คือบางส่วนที่อาจค้นหาอยู่ …
1. Start with objective
วิธีการวางเป้าหมายและกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด โดยมี กลุ่มเป้าหมายอะไร วัตถุประสงค์คืออะไร
กลุ่มเป้าหมาย แบ่งเป็น 3 ระดับ
- กลุ่มลูกค้าเดิม ซึ่งเคยซื้อสินค้าและบริการคุณแล้ว
- ผู้ติดตาม ซึ่งมีความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณแต่ยังไม่เคยซื้อ
- กลุ่มเป้าหมายใหม่ มีโอกาศในการเป็นลูกค้าของคุณ
วัตถุประสงค์ ของการสื่อสารทางการตลาดผ่าน Facebook โดยทั่วไปก็เพื่อ
- Brand Awareness ให้เกิิดการจดจำ
- Engagement เพื่อรวบรวมกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าของคุณ เช่น ข่าวประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดการส่งต่อข่าวสาร
- Purchase โดย Lead ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายไปยังเว็บไซต์เพื่อให้เกิดการซื้อสินค้า
ตัวอย่างเช่น
ฉันต้องการให้ ลูกค้าเดิมและผู้ติดตามเพจ ซื้อสินค้าตัวใหม่
ฉันต้องการให้ แฟนเพจ โพสต์สินค้าและคุณสมบัติของสินค้า
2. Headline that’s work
Facebook Ads เป็นสื่อที่ช่วยสร้างความต้องการซื้อ (Demand Generation) โดยผู้ที่เห็นโฆษณาอาจยังไม่มีความต้องการซื้อสินค้าในขณะนั้น ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่ค้นหาสินค้าผ่าน Google
ดังนั้น Headline ที่จะประสบผลสำเร็จได้ต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจในสินค้าได้ในทันที หรือเกิดการติดตาม เพื่อเปลี่ยนให้เป็นลูกค้าได้ในอนาคต
รูปแบบ Headline ที่นิยมใช้
- Direct headline เช่น เครื่องสำอาง ลด 60%
- Curiosity headline เช่น ทำอย่างไร ให้ผอมโดยไม่พึ่งยา
- How-to headline เช่น วิธีการลดต้นขา ให้เรียวสวย 10 นาทีต่อวัน
- Numbered headline เช่น 3 ขั้นตอนลดหน้าท้องแบบเห็นผล ด้วยตัวเองที่บ้าน
- Testimonial headline โดยคนที่มีชื่อเสียงหรือลูกค้าจริงกล่าวถึงสินค้า ผลลัพธ์และประสบการณ์จริง
3. Precise targeting
Ad Targeting คือ การเจาะจงกลุ่มผู้รับสารเฉพาะผู้ที่สนใจ และมีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ ทั้งนี้เพื่อให้สื่อโฆษณามีประสิทธิภาพสูงสุด และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่เสียงบโฆษณาไปกับกลุ่มที่ไม่ใช่เป้าหมาย
คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้จาก
- อีเมล์ หรือเบอร์โทรศัพท์ จากฐานข้อมูล CRM ที่มีอยู่
- จังหวัด, อายุ, เพศ, ระดับการศึกษา หรือตำแหน่งงาน
- กลุ่ม Followers รวมไปถึงเพื่อนๆ ของเขา
- ผู้ใช้โทรศัพท์, แท็บเล็ต รวมถึงประเภทการเชื่อมต่อ Internet เช่น ใช้ Wifi หรือไม่
- ความสนใจ ทั้งแบบความสนใจทั่วไป (Broad interest) และแบบจำเพาะเจาะจง (Specific interest)
4. Call to action, to convert right now
Call To Action คือ การใช้ข้อความ, ปุ่ม หรือรูปภาพ เพื่อกระตุ้นความอยากซื้อ ความสนใจ หรือบอกสิ่งที่ต้องการให้ผู้เห็นโฆษณากระทำ เพราะเมื่อลูกค้าสนใจในสินค้าของคุณแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ก็คือ ทำให้เกิด Conversion มากที่สุดด้วย Call To Action ด้วยส่วนผสมด้านจิตวิทยาเหล่านี้
- Irresistible Offers เช่น จองวันนี้ลดทันที 50%, ดาวน์โหลดฟรี, ลงทะเบียนเพื่อรับคูปอง มูลค่า 2000 บาท
- Sense of Urgency เช่น เดี๋ยวนี้, จำนวนจำกัด, เฉพาะ 20 ท่านแรก
- Emotional Appeal เช่น อวดหุ่นสวย, รู้ก่อนรวยก่อน, มอบของขวัญให้คนที่คุณรัก
- Intuitive Click เช่น คลิกเลย, ปุ่มมีรอยเปื้อน
ตัวอย่างผลลัพธ์ของการทำ Optimization จากประสบการณ์ของพวกเรา
มันคุ้มค่ามากเลยใช่ไหม?
ตัวอย่างแคมเปญส่วนลด 100 บาท ซึ่งผู้สมัครสมาชิกวันนี้ จะได้รับส่วนลด 100-.
5. A/B Testing is a MUST
A/B Testing คือ การทดสอบโดยเปรียบเทียบผลลัพธ์จริงระหว่างโฆษณาแต่ละอันที่แตกต่างกัน เช่น เปรียบเทียบ Conversion Rate โดยการทดสอบแต่ละครั้งควรเปรียบเทียบเฉพาะจุด เพื่อให้เห็นผลกระทบของความแตกต่างที่เกิดจากจุดนั้น ตัวอย่างของสิ่งที่มักทดสอบเปรียบเทียบ มีดังนี้
ทดสอบโฆษณา ด้วยการปรับเปลี่ยน เช่น
- การเขียน Headline แบบต่างๆ
- เปลี่ยนรูปภาพที่สะดุดตา
- เลือกอารมณ์ของรูปภาพที่แตกต่างไป
- เปลี่ยนตำแหน่ง ขนาดหรือรูปร่างของวัตถุในรูปภาพ
จากนั้นจึงประเมิน Conversion Rate เพื่อเปรียบเทียบแต่ละแบบ
ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย โดยทดสอบรูปภาพและหัวข้อกับกลุ่มเป้าหมายที่มีพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ต่างกัน เช่น เพศ, วัย หรือความสนใจที่ต่างกัน จากนั้นจึงประเมิน Conversion Rate ในแต่ละกลุ่ม
6. Image grabs the attention
Ad Image ที่ดีจะต้องดึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย สร้างความประทับใจ และช่วยให้เกิด Conversion
แนวทางการออกแบบ Ad Image เบื้องต้น จากตัวอย่างรูปด้านบน
- สะดุดตา ด้วยภาพที่เรียบง่ายและเป็นรูปใบหน้าผู้หญิง
- เลือกสี สีของตัวสินค้ามีความโดดเด่นออกมา
- ตรงประเด็น ภาพสินค้าชัดเจนตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่รู้จักเครื่องเลเซอร์ IPL
- สะท้อนความรู้สึก ใบหน้าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มีความพึงพอใจ
- ข้อความกระชับ และง่าย สื่อสารประสิทธิภาพของเครื่องด้วยกราฟผลการวิจัย
อย่างไรก็ตาม Ad Image ที่ดีต้องทำการทดสอบกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงของผู้เห็นโฆษณา ว่ามีอัตรา Conversion เป็นอย่างไร
7. More chances with Retargeting
Retargeting คือ การจดจำลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสินค้า เพื่อทำการโฆษณาแบบตอกย้ำกับกลุ่มเดิม ด้วยการติดตามพฤติกรรมของลูกค้าที่เข้ามาในเว็บไซต์ เช่น กลุ่มที่แค่ดูรายละเอียดสินค้า หรือกลุ่มที่ทำการสั่งซื้อสินค้า จากนั้นจึงใช้โฆษณาที่แตกต่างกัน เพื่อทำการตอกย้ำสินค้าให้กับแต่ละกลุ่มลูกค้า
วัตถุประสงค์ของการทำ Retargeting
- เพื่อปิดการขาย โดยทำการตั้งค่า Target ของโฆษณาไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสูง เช่น เข้าชมวิดีโอสาธิต, ชมหน้ารายการสินค้า หรือเลือกสินค้าใส่ตะกร้าแล้วแต่ยังไม่ได้ซื้อสินค้า จากนั้นจึงตอกย้ำโฆษณา หรือนำเสนอโปรโมชั่นเพื่อปิดการขาย
- เพิ่มยอดขาย ทำการโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าเก่าซื้อซ้ำ หรือซื้อสินค้าตัวอื่นเพิ่มเติม
- ไม่สิ้นเปลืองงบโฆษณา ด้วยการตัดกลุ่มลูกค้าที่เราบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เช่น ซื้อสินค้า, Install App หรือ Subscribe ช่วยทำให้ประหยัดค่าโฆษณา และไม่รบกวนลูกค้ากลุ่มเดิมจนน่ารำคาญ
8. Upscale to get more
Q: จะต่อยอดฐานลูกค้าได้อย่างไร
A: ก่อนอื่น คุณจะต้องทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าเสียก่อนว่ามี Interest อย่างไรบ้าง ตัวอย่างเช่น หากพบว่าลูกค้าที่ซื้อสปอร์ตบราเกือบทั้งหมดสนใจกิจกรรมวิ่งหรือกิจกรรมโยคะ เราสามารถต่อยอดฐานลูกค้าจากกิจกรรมนี้ นับเป็นการหาลูกค้าใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาก แต่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการค้นหาและทำความเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี
นอกจากนั้น Facebook ยังช่วยค้นหา “กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน” (Lookalike Audiences) ซึ่งเป็นวิธีการที่จะเข้าถึงผู้คนใหม่ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกับฐานลูกค้าของคุณ และมีแนวโน้มสนใจสินค้าของคุณด้วยเช่นกัน
ติดต่อ Line ID : @indigital (มี@ นะคะ)
คลิกเพื่อ ADD Line : https://line.me/R/ti/p/%40indigital
Fanpage : INdigital การตลาดออนไลน์
คลิก https://www.facebook.com/indigital.co.th/
เว็บไซต์ : www.indigital.co.th