เทรนด์ที่ 1 : ใช้แคมเปญ Performance Max ในการโฆษณา
ทุกแคมเปญ Google Ads ที่ใช้งานควรเริ่มต้นด้วย Smart Campaign ซึ่งดูแลการกำหนดเป้าหมายและการเพิ่มประสิทธิภาพ เพราะเหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาดและทุกประเภท เพื่อให้มีประสบการณ์การโฆษณาแบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ที่สุด และเป็นตัวเลือกที่ง่ายและผู้ที่ลงโฆษณาเตรียมขั้นตอนไม่กี่อย่าง ดังนี้
- วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของแคมเปญ เช่น CPA, ROAS
- ครีเอทีฟโฆษณา เช่น รูปภาพหรือวิดีโอ และ CTA
- งบประมาณ
- การเสนอราคา เช่น CPA สูงสุดหรือมูลค่า/การแปลงเป้าหมาย
- สถานที่ตั้ง ภาษา และการตั้งเวลาโฆษณา
ด้วยเหตุนี้ ผู้โฆษณาจะเข้าถึงผู้ใช้ได้ง่ายและไวกว่าเดิม ข้อดีอย่างหนึ่งที่แคมเปญ Performance Max มีเหนือแคมเปญอื่นๆ คือช่วยให้นักการตลาดโฆษณาได้ในทุกช่องทางที่ Google เป็นเจ้าของ เช่น YouTube, Display, Search, Discover, Gmail หรือ Maps ถึงแม้แคมเปญนี้จะเพิ่งมีขึ้นได้ไม่นาน แต่ Google เองก็จะจะเปลี่ยนแนวการโฆษณาให้ดีในปีต่อ ๆ ไป
เทรนด์ที่ 2 : แคมเปญในพื้นที่
แคมเปญในพื้นที่เป็นตัวเลือกส่งเสริมการขายอันดับต้นๆ ที่ธุรกิจในท้องถิ่นใช้เพื่อดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าให้มาเยี่ยมชมร้านค้าของตนมากขึ้น แคมเปญ Google Ads ในพื้นที่ใช้เน้นใช้คำค้นหา เช่น “Joe’s Pizza” “พิซซ่าที่ดีที่สุดในกรุงเทพ” หรือ “พิซซ่าที่ดีที่สุด 90017” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับผู้ใช้ที่ค้นหาจากสมาร์ทโฟน โฆษณาจะแนะนำและจะแสดงร้านค้าอัตโนมัติในผลลัพธ์ เมื่อผู้ใช้ค้นหาธุรกิจที่อยู่ใกล้สถานที่ตั้งของตน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ค้นหา “เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง” พวกเขาจะได้รับโฆษณาสำหรับธุรกิจที่อยู่ใกล้เคียงในผลการค้นหาแผนที่ ดังเช่นตัวอย่าง
เทรนด์ที่ 3 : การเสนอราคา ROAS เป้าหมายสำหรับแคมเปญโฆษณา Video Action และ Discovery Ads
กลยุทธ์หนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งคือ ROAS เป้าหมาย ซึ่งช่วยให้คุณเสนอราคาตามมูลค่า Conversion เฉลี่ยที่คาดการณ์ไว้ แทนที่จะเป็นอัตรา Conversion ที่คาดการณ์ไว้ ใช้ได้กับแคมเปญเกือบทุกประเภท ยกเว้นแคมเปญ Video Action และ Discovery Ads แต่นั่นกำลังจะเปลี่ยนไป เนื่องจาก Google ได้ประกาศว่าจะอนุญาตให้มีการเสนอราคา tROAS สำหรับรูปแบบแคมเปญเหล่านี้ โดยมีข้อกำหนดดังนี้
- คุณจะต้องกำหนดมูลค่าสำหรับ Conversion ที่คุณกำลังติดตาม (คุณสามารถใช้ ROAS เฉลี่ยจากแคมเปญ Google Ads ที่มีอยู่เป็นจุดเริ่มต้นได้)
2 .แคมเปญการกระทำกับวิดีโอจะต้องสร้าง Conversion อย่างน้อย 15 รายการในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ในขณะที่แคมเปญ Discovery จะต้องมี Conversion อย่างน้อย 75 รายการในช่วง 30 วันที่ผ่านมา (10 ของ Conversion เหล่านี้ต้องเกิดขึ้นใน 7 วันที่ผ่านมา)
เทรนด์ที่ 4 : ฟีดผลิตภัณฑ์สำหรับแคมเปญที่โฆษณาโดยวิดีโอ
หากคุณใช้โฆษณาวิดีโอเพื่อโปรโมตธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ Google ได้เพิ่มฟีดผลิตภัณฑ์ลงในแคมเปญการดำเนินการกับวิดีโอเมื่อไม่นานมานี้ สมมติว่าผู้ใช้เห็นโฆษณาวิดีโอที่โปรโมตผลิตภัณฑ์ของคุณ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที YouTube จะแสดงโฆษณาผลิตภัณฑ์ของคุณทางด้านล่างหน้าจอ (ซึ่งจะแสดงบนสมาร์ทโฟนในแนวตั้งเท่านั้น) และถ้าผู้ใช้สนใจ ก็จะนำไปสู่ Landing Page ของผลิตภัณฑ์เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม ฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยลดเวลาในการแปลง ปรับปรุงการระบุแหล่งที่มาของการขาย และที่สำคัญที่สุดคือเพิ่มยอดขายของคุณ
เทรนด์ที่ 5 : การสร้างแบบจำลอง Conversion ผ่านโหมดยินยอม
การเผยแพร่กฎระเบียบให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค (GDPR) ได้บังคับให้ธุรกิจออนไลน์ใช้นโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น Google ก็ไม่มีข้อยกเว้น ในเดือนกันยายน ปี 2020 Google ได้เปิดตัวโหมดยินยอม ซึ่งเป็นวิธีการที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของแท็กของ Google ตามสถานะความยินยอมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ แม้ว่าเป้าหมายหลักของโหมดยินยอมคือการรักษาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับ GDPR แต่ก็สร้างปัญหาใหม่ให้กับนักการตลาด จนเมื่อเดือนเมษายน ปี 2021 Google ได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อแก้ปัญหานี้โดยทำให้รูปแบบ Conversion พร้อมใช้งานในโหมดคำยินยอม รูปแบบ Conversion ในโหมดคำยินยอมใหม่จะเปิดใช้การกู้คืนเส้นทางการระบุแหล่งที่มาระหว่างเหตุการณ์การคลิกโฆษณาและ Conversion Google ระบุว่าฟีเจอร์ใหม่นี้จะกู้คืนเส้นทางการคลิกเพื่อแปลงโฆษณาโดยเฉลี่ยมากกว่า 70%
เทรนด์ที่ 6 : คอนเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงแล้ว
อีกวิธีหนึ่งในการปรับปรุงรูปแบบการระบุแหล่งที่มาของ Conversion ก็คือการใช้ Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว Enhanced Conversions จะดึงข้อมูลที่ได้รับความยินยอมจากบุคคลที่หนึ่งซึ่งลูกค้าของคุณมอบให้ รวมถึงที่อยู่อีเมล ชื่อ ที่อยู่ หรือหมายเลขโทรศัพท์ โดยใช้อัลกอริธึม SHA256 และส่งโดยใช้แท็ก Conversion ของคุณ จากนั้น Google จะจับคู่ข้อมูล Conversion กับบัญชี Google ที่ลงชื่อเข้าใช้ และระบุแหล่งที่มาของข้อมูลดังกล่าวกับเหตุการณ์โฆษณาของคุณ เช่น การคลิกหรือการเรียกดู คุณสามารถตั้งค่าคอนเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงแล้วด้วยตนเองโดยอาจจะใช้ Google Tag Manager หรือ แท็กที่ติดทั่วเว็บไซต์วิธีใดวิธีหนึ่ง
เทรนด์ที่ 7 : การใช้ Shopify Integration
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Shopify ได้กลายเป็นผู้นำของโลกการตลาดอีคอมเมิร์ซ Google ตอนนี้ “กราฟการช็อปปิ้ง” ของพวก Shopify จะเริ่มดึงข้อมูล (ราคา วิดีโอ ข้อมูลผลิตภัณฑ์) จากแพลตฟอร์มต่างๆ ของ Google เพื่อแจ้งให้ผู้เลือกซื้อออนไลน์ทราบว่าจะพบสินค้าได้ที่ไหน ได้รับสินค้ามากเพียงใด ผู้ขายรายใดมีราคาที่ดีที่สุด และอื่นๆ และ Google ได้ทำให้ผู้ค้าสามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์ของตนบนแท็บ Shopping ได้ฟรีแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ค้าเริ่มแสดงโฆษณาบนผลิตภัณฑ์และบริการของ Google ได้ทุกแห่ง
เทรนด์ที่ 8 : การค้นหาสินค้าด้วยรูปภาพ
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้โฆษณาสามารถสร้างโฆษณาบนการค้นหาโดยใช้ข้อความเท่านั้น ซึ่งถือว่าทันสมัยกว่า Facebook อยู่มาก และในเดือนกรกฎาคม ปี 2020 Google ได้ประกาศเปิดตัวโปรแกรมเบต้าส่วนขยายรูปภาพสำหรับโฆษณาตามการค้นหา รูปภาพเหล่านี้สามารถคลิกได้และมีราคาเท่ากับโฆษณาแบบข้อความ โดย Google อนุญาตให้อัพโหลดรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด ที่คุณเสนอราคาได้สูงสุด 20 ภาพ ตราบใดที่ตรงตามข้อกำหนด
เทรนด์ที่ 9 : การจับคู่ข้อมูลลูกค้า
การจับคู่ข้อมูลลูกค้าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณใช้ข้อมูลออนไลน์และออฟไลน์เพื่อกำหนดเป้าหมายลูกค้าเหล่านั้นผ่านช่องทางต่างๆ ของ Google และลูกค้ารายอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายพวกเขา เมื่อคุณอัพโหลดรายชื่อลูกค้า คุณจะต้องรอดูว่าอัตราการจับคู่ของคุณจะเป็นอย่างไร (กล่าวคือ จำนวนผู้ใช้ที่ Google สามารถจับคู่ในฐานผู้ใช้ของพวกเขาได้) ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2021 Google ได้เริ่มแสดงอัตราการจับคู่ข้อมูลลูกค้าแบบทันทีจากการอัพโหลดปัจจุบันและในอดีตของคุณ แม้ว่าจะดูเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้คุณค้นหาและแก้ไขปัญหาการจับคู่ข้อมูลลูกค้าได้เร็วขึ้น เพื่ออัตราการจับคู่ข้อมูลลูกค้าที่ดีขึ้น Google ขอแนะนำให้เพิ่มข้อมูลลูกค้าให้มากที่สุด เพราะมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
.
.
ที่มา : Single Grain
เกาะติดข่าวสารการตลาดออนไลน์ เทคนิคการโปรโมทโฆษณากับอินดิจิทัล
ติดต่อเรียนการตลาดออนไลน์กับอินดิจิทัล แอดไลน์ ไอดี @inDigital
ติดตามบน Facebook Fanpage : InDigital News